วันพฤหัสบดีที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2557


รำถวายพระพร หมายถึง การรำที่ตีบทตามเนื้อร้อง ถวายพระพรให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระบรมราชินีนารถ ตลอดจนบรมวงศานุวงศ์ ในโอกาสต่างๆ เนื่องในงานวันสำคัญ ท้ายเพลงการรำมักนิยมใช้เพลงหน้าพาทย์ประกอบการร่ายรำ การแต่งกายของผู้แสดงแต่งกายยืนเครื่องพระนาง

ถ้าพูดถึงความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนารถทั้งสองพระองค์แล้ว ผมเชื่อว่าพสกนิกรชาวไทยทุกคนล้วนมีความจงรักภักดี ขึ้นอยู่กับการแสดงออกของแต่ละบุคคลว่าจะแสดงออกมาในลักษณะรูปแบบไหน ส่วนทางด้านนาฏศิลป์ไทย ก็จะนึกถึงการรำถวายพระพร



รำถวายพระพรสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ
สรวมชีพบังคมบรมราช ทรงโปรดราชปกเกล้าเกศี
เฉลิมพระชนม์พรรษาองค์ราชินี คนแซร่ซ้องสดุดีถวายพระพร
ทรงห่วงใยอาณาประชาราษฎร์ ยุรยาตรเยี่ยมไปให้การสอน
ศิลปาชีพช่วยชีวิตราษฎร ทรงอาทรทรงเอื้อเผื่อแผ่ไป
ขอเดชะพระสยามเทวาธิราช จงประสาทพรพิพัฒน์นิรัตติสัย
จงคุ้มเดชพระแม่เจ้าของชาวไทย พระพรชัยทรงพระเจริญเทอญ



วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2557







ระบำเงือก


เป็นการแสดงชุดหนึ่งที่อยู่ในละครเรื่อง สุวรรณหงส์ ตอนกุมภนฑ์ถวายม้า หลังจากที่พระสุวรรณหงส์กับนางเกศสุริยงโดยสารเรือ เพื่อจะข้ามแม่น้ำสินธุมาศกลับไปยังบ้านเมือง นางผีเสื้อน้ำซึ่งแปลงตัวเป็นยายแก่พายเรือขายขนมอยู่นั้นจึงได้ทำอุบายและผลักเกศสุริยงลงน้ำ แล้วจำแลงร่างของตนแทน แต่เกศสุริยงก็รอดตายโดยการช่วยเหลือของนางเงือกชาลีกรรมและบริวารซึ่งอาศัยอยู่ในแม่น้ำสินธุมาศ
   ผู้ประดิษฐ์ท่ารำ คือ ท่านผู้หญิงแผ้ว สนิทวงศ์เสนี
   บทร้อง ทำนอง ดนตรี ผู้ประพันธ์คือ ครูมนตรี ตราโมท
เนื้อเพลงระบำเงือก

Smiley 24 Smiley 24 ทำนองเพลงพระเจ้าลอยถาดSmiley 24Smiley 24
                           พวกเรา เหล่าเงือกน้ำ    อยู่ประจำท้องนที
                           เนาในถ้ำมณี               อันโชติช่วงชัชวาล
                           เสพแต่สันติสุข            นิรทุกข์จากภัยพาล
                           อายุยาวยืนนาน           โดยบำราศความชรา
                           ทุกนางสำอางค์พักตร์    ศิริลักษณ์ดั่งเลขา
                           สวยสดสาวโสภา          อยู่ตลอดนิรันดร์กาล
                           เวลาคราอรุณ              แสงแดดอุ่นทั่วท้องธาร
                           บันเทิงเริงสำราญ         สำรวลรื่นชื่นฤทัย
                           ต่างผุดขึ้นผิวน้ำ           มาคลาคล่ำดำโลดไล่
                           แหวกว่ายสายน้ำใส      เล่นคว้าไขว่กันไปมา
                           ลางนางขึ้นหาดทราย    สางสยายเกล้าเกศา
                           เพ่งมองส่องฉายา         ตะลึงโลมโฉมของตน
                           ลางนางต่างรำร่าย         กรกรีดกรายสายวังวน
                           อาบแสงสุริยนต์           สุดเกษมเปรมฤดี


วันอังคารที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2557


Modern  Dance


โมเดิร์น ดานซ์ ในไทยสามารถสืบค้นกลับไปถึงเมื่อปี 2493 ในมหาวิทยาลัยศิลปากรได้มีการทดลองทำงานที่อาจเรียกได้ว่าเป็นศิลปะที่ใช้ร่างกายเป็นสื่อประกอบ โดยมี ประยูร อุลุชาฎะ ประธานนักศึกษา เป็นผู้จัด “ดราม่าพิเศษ” ในคืนงานรับน้องใหม่ รุ่นที่ 7 (รุ่นของ สุวรรณี สุคนธา และ ชลูด นิ่มเสมอ) ที่โรงละครแห่งชาติ ในชื่อว่า “เซอร์เรียลลิสติค มูฟเม้นท์” ประยูร เล่าว่า
มีการจัดฉากกันทันทีโดยเอาฉากเก่าๆ มาผสมปนเปกัน ใช้เทคนิคสาดแสงไฟช่วย เป็นไฟสีม่วงแกมแดงเข้ม มีสีเขียวเรืองๆ จับตามโขดหินและกิ่งไม้


พอเปิดฉาก ตัวแสดงชายนับสิบจะก้มตัวลงกอดเป็นก้อนนิ่ง ปะปนไปกับก้อนหินต่างๆมีบัลลังก์ใหญ่ตั้งเด่นอยู่ ชำเรือง วิเชียรเขตต์ รูปร่างล่ำสันนั่งนิ่งเป็นรูปปั้น ทวี นันทขว้าง แต่งตัวเป็นฝรั่ง สวมเสื้อคลุม แสดงเป็น แวน โก๊ะ กำลังเขียนรูปอย่างบ้าคลั่ง ท่ามกลางบรรยากาศสลัวๆ และเพลงแผ่วเบา
สักครู่ไฟที่หรี่ไว้เริ่มสว่างขึ้นข้างๆ จนเห็นเป็นโขดหินที่เป็นกลุ่มคนมหึมากอดกันแน่น เริ่มเคลื่อนไหวอย่างเจ็บปวดรวดร้าว ราวกับภาพเขียนแพแตกจากเรือเมดูสาของ เชอริโก บรรยากาศเงียบกริบ เพลงค่อยๆเงียบ ไฟข้างหนึ่งดับอีกข้างหนึ่งสว่างขึ้น ชำเรือง วิเชียรเขตต์ ที่นั่งนิ่งในท่ารูปปั้นของ ไมเคิลแองเจโล ก็เดินแบกก้อนหินก้าวออกมา แล้วตีลังกาโครมกลับมานั่งเป็นก้อนหินตามเดิม ทุกอย่างเงียบ ตอนนี้เพลงเปิดจนสุดเสียง กลุ่มคนก็กระจายเผละออกเป็นสัญลักษณ์ของการแตกละเอียด มีคนตัวล่ำๆ ขี่ช้างเหาะลงมาอย่างรวดเร็ว?ช่วยกันชักรอกนะครับ ไฟก็สว่างโร่แล้วดับพรึบ ปิดม่านทันที “คนดูบ่นกันพึม ดูไม่รู้เรื่องว่าอะไร ต้องดันผู้ประกาศไปประกาศว่า เราประสงค์จะให้เห็นความงามในสีแสงและดราม่า อย่าไปเอาเรื่องราว ถ้ามันเป็นเรื่อง มันก็ไม่ใช่ เซอร์เรียลลิสม์ น่ะซิ”เท่านั้นคนพอใจ เลยตบมือกราว
การแสดงในแนวทางดังกล่าวได้กลายเป็นประเพณีการแสดงอย่างหนึ่งในงานรับน้องใหม่ที่ตกทอดกันมาในคณะจิตรกรรมฯ ภายหลังได้มีการเรียก การแสดงลักษณะนี้ว่า โมเดิร์น ดานซ์ หรือ โมเดิร์น แดนซ์ และค่อยๆ หายไปในช่วงต้นพุทธทศวรรษ 2520 และถูกนำมารื้อฟื้นทำกันใหม่ในปลายทศวรรษเดียวกันนั้น เพื่อร่วมแสดงในวันศิลป์ พีระศรี แต่การแสดง “ดรามา พิเศษ” หรือ โมเดิร์น ดานซ์ จากคณะจิตรกรรมฯ ก็ไม่ได้พัฒนาไปสู่ แฮพเพนนิ่ง (Happening) หรือ ศิลปะแสดง หรือ เพอร์ฟอร์มานซ์ (Performance) อย่างจริงจังเท่าไรนัก

วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2557



การแสดงชุด "ฟ้อนขันดอก" เป็นการแสดงที่ พ่อครูมานพ ยาระนะ ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดงพื้นบ้าน ปี พ.ศ. 2548 เป็นผู้ประดิษฐ์ท่าขึ้น โดยมีจุดประสงค์ในการแสดงเพื่อเป็นการฟ้อนรำบูชาพระรัตนตรัย เพื่อให้บังเกิดความสงบร่มเย็นให้แก่บ้านเมือง โดยมีอุปกรณ์ประกอบการแสดงเป็นขันดอก หรือพานไม้ใส่ดอกไม้แบบล้านนา ซึ่งใช้ตบแต่งเพื่อบูชา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในงานบุญทางศาสนา โอกาสต่าง ๆ 


วันอังคารที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2557







มัทนะพาธา เป็นบทละครพูดคำฉันท์ 5 องก์ โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นทั้งหมดด้วยพระองค์เองโดยไม่ได้อิงเนื้อหามาจากที่อื่น ทรงพระราชนิพนธ์ทั้งเริ่มและจบลงในปี พ.ศ. 2466 เล่าเรื่องว่าด้วยตำนานเกี่ยวกับดอกกุหลาบ และความเจ็บปวดจากความรัก

ชื่อมัทนะพาธา

พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้า อยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๖๖ พระองค์ทรงกล่าวถึงที่มาของงชื่อมัทนาว่า “...ก่อนได้ทราบว่าดอกกุหลาบเรียกว่าอย่างไรในภาษาสันสกฤตนั้น ข้าพเจ้าได้นึกไว้ว่าจะให้ชื่อนางเอกในเรื่องนี้ตามนามแห่งดอกไม้ แต่เมื่อได้ทราบแล้วว่าดอกกุหลาบ คือ “กุพชกา” เลยต้องเปลี่ยนความคิด เพราะถ้าแม้ว่าจะให้ชื่อนางว่า “กุพชกา” ก็จะกลายเป็นนางค่อมไป ข้าพเจ้าจึงค้นหาดูศัพท์ต่างๆ ที่พอจะใช้เป็นนามสตรี ตกลงเลือกเอา “มัทนา” จากศัพท์ “มทน” ซึ่งแปลว่าความลุ่มหลงหรือความรัก เผอิญในขณะที่ค้นนั้นเองก็ได้พบศัพท์ “มทนพาธา” ซึ่งโมเนียร์ วิลเลียมส์ แปลไว้ว่า “the pain or disquietude of love” (ความเจ็บปวดหรือเดือดร้อนแห่งความรัก” ซึ่งข้าพเจ้าได้ฉวยเอาทันที เพราะเหมาะกับลักษณะแห่งเรื่องที่เดียว เรื่องนี้จึงได้นามว่า “มัทนะพาธาหรือตำนานแห่งดอกกุหลาบ” ด้วยประการฉะนี้....”

เนื้อเรื่อง

เนื้อเรื่องแบ่งเป็นสองภาค คือภาคสวรรค์ และภาคพื้นดิน
ภาคสวรรค์ - กล่าวถึงสุเทษณ์เทพบุตร ซึ่งในอดีตชาตินั้นคือกษัตริย์แคว้นปัญจาล และนางมัทนา ซึ่งในอดีตชาติเป็นราชธิดาในกษัตริย์แคว้นสุราษฎร์ ซึ่งทั้งคู่ได้มาเกิดใหม่บนสวรรค์ สุเทษณ์เทพบุตรใฝ่ปองรักนางฟ้ามัทนา แต่ก็ไม่อาจจะสมรักด้วยกรรมที่เคยทำมาแต่อดีต ทำให้ไร้ซึ่งความสุขอย่างยิ่ง สุเทษณ์เทพบุตร จึงได้ให้วิทยาธรนามว่า "มายาวิน" ใช้เวทมนตร์คาถาไปสะกดเอานางมัทนาเข้ามาหา ก่อนที่มายาวินจะใช้เวทมนตร์เรียกนางมัทนา ได้ทูลสุเทษณ์เทพบุตรว่า การที่พระองค์ไม่อาจจะสมรักกับมัทนาได้ เป็นเพราะเมื่อชาติปางก่อน เมื่อพระองค์เป็นกษัตริย์แคว้นปัญจาลนั้น พระองค์ได้ไปสู่ขอมัทนาจากกษัตริย์แคว้นสุราษฎร์ผู้เป็นพระราชบิดา แต่ท้าวสุราษฎร์ไม่ให้ จึงเกิดรบกันขึ้น ในที่สุดท้าวสุเทษณ์แห่งแคว้นปัญจาลก็ชนะ จับท้าวสุราษฎร์เป็นเชลย และจะประหารชีวิตเสีย แต่นางมัทนาเข้ามาขอชีวิตพระราชบิดาไว้ และยอมเป็นบาทบริจาริกา ก่อนที่นางจะใช้พระขรรค์ปลงพระชนม์ตนเอง เมื่อสิ้นพระชนม์แล้ว นางมัทนาก็ไปเกิดเป็นเทพธิดาบนสวรรค์ ส่วนท้าวสุเทษณ์ก็ได้ทำพลีกรรมบำเพ็ญจนได้มาเกิดบนสวรรค์เช่นกัน
แต่อย่างไรก็ดี สุเทษณ์เทพบุตร ก็ยังยืนยันจะให้มายาวินลองวิชาดูก่อน มายาวินจึงเรียกเอามัทนามาด้วยวิชาอาคม เมื่อมัทนามาแล้ว ด้วยมนต์ที่ผูกไว้ ทำให้ไม่ว่าสุเทษณ์เทพบุตรจะถามอย่างไร มัทนาก็ตอบตามเป็นคำถามย้อนไปอย่างนั้น เหมือนไม่มีสติ สุเทษณ์เทพบุตรขัดใจนักก็ให้มายาวินคลายมนต์ ครั้นมนต์คลายแล้ว มัทนาก็ตกใจที่ตนล่วงเข้ามาในวิมานของสุเทษณ์เทพบุตรโดยไม่รู้ตัว สุเทษณ์เทพบุตรพยายามจะฝากรักมัทนา แต่มัทนามิรักตอบ จะอย่างไรๆก็ไม่ยอมรับรัก จนสุเทษณ์เทพบุตรกริ้วจัด สาปส่งให้นางลงไปเกิดเป็น ดอกกุพชกะ คือ ดอกกุหลาบ อยู่ในแดนมนุษย์ และจะกลับคืนเป็นคนได้ก็ต่อเมื่อวันเพ็ญ เพียง 1 วัน 1 คืนเท่านั้น แล้วจะกลับคืนเป็นกุหลาบดังเดิม แต่หากนางได้รักบุรุษใดแล้ว เมื่อนั้นจึงจะคงรูปมนุษย์อยู่ได้ และหากเมื่อใดที่นางมีทุกข์เพราะรัก ก็จงขอประทานโทษมายังพระองค์พระองค์จะยกโทษให้

ภาคพื้นดิน - มัทนาได้ไปเกิดเป็นดอกกุหลาบอยู่ในป่าหิมวัน ในป่านั้นมีพระฤๅษีนามกาละทรรศินพร้อมด้วยศิษย์ทั้งหลาย พระกาละทรรศินได้เห็นกุหลาบมัทนาก็ชอบใจ สั่งให้ศิษย์ขุดเอากุหลาบมัทนาไปปลูกใหม่ไว้ใกล้อาศรม เมื่อถึงคืนวันเพ็ญ มัทนาก็กลายเป็นร่างมนุษย์มาคอยรับใช้พระกาละทรรศินและศิษย์ทั้งหลาย คอยปรนนิบัติเรื่อยมา พระกาละทรรศินก็รักมัทนาเหมือนลูกตัว
ต่อมาวันหนึ่ง ท้าวชัยเสนผู้ครองนครหัสดิน ได้เสด็จประพาสป่า ผ่านมายังอาศรมพระกาละทรรศิน ประจวบกับเป็นคืนวันเพ็ญ ก็ได้พบกับนางมัทนา ทั้งสองฝ่ายต่างรักกัน พระกาละทรรศินก็จัดพิธีอภิเษกให้ และนางมัทนาก็ได้เดินทางไปกับท้าวชัยเสน เข้าไปยังกรุงหัสดิน โดยไม่ได้กลับเป็นดอกกุหลาบอีก ท้าวชัยเสนหลงรักนางมัทนามาก จนกระทั่งลืมมเหสีของตนคือนางจัณฑี พระมเหสีจัณฑีหึงหวงนางมัทนา ทั้งอิจฉาริษยาเป็นอันมาก ก็ทำอุบายใส่ร้ายนางมัทนาว่าเป็นชู้กับทหารเอกท้าวชัยเสนนามว่าศุภางค์ และยุยงท้าวมคธพระราชบิดาให้มาตีเมืองหัสดิน ท้าวชัยเสนออกไปรบ ครั้นเมื่อกลับมาได้ข่าวว่ามัทนาลอบเป็นชู้กับศุภางค์ก็กริ้วจัด สั่งประหารมัทนาเสียทันที แต่เพชฌฆาตได้ปล่อยนางหนีไปเพราะความสงสาร ส่วนศุภางค์นั้น ด้วยความจงรักภักดีต่อท้าวชัยเสน ก็ออกสนามรบกับท้าวชัยเสนเป็นครั้งสุดท้ายในฐานะไพร่ทหารเลว และตายในที่รบ
มัทนาหนีกลับมายังป่าหิมวัน และได้ทำพลีกรรม์บูชาสุเทษณ์เทพบุตร จนสุเทษณ์เทพบุตรเสด็จมา และเอ่ยปากจะช่วยให้คืนสวรรค์ สุเทษณ์เทพบุตรได้ขอความรักจากนางอีก แต่มัทนามิสามารถจะรักใครได้อีกแล้ว และปฏิเสธไป สุเทษณ์เทพบุตรกริ้วนัก จึงสาปนางให้เป็นกุหลาบไปตลอดชีวิต
ฝ่ายท้าวชัยเสน ต่อมาเมื่อรบชนะท้าวมคธ และได้รู้ความจริงทั้งหมด ก็กริ้วพระมเหสีจัณฑีมาก และได้ลงอาญาไป ก่อนจะออกไปตามหามัทนาในป่า แต่สิ่งที่พบ ก็เพียงแต่กุหลาบกอใหม่อันขึ้นอยู่ยังกองกูณฑ์บูชาสุเทษณ์เทพบุตรเท่านั้น ท้าวชัยเสนทำอะไรไม่ได้อีกต่อไป แต่ด้วยความรักสุดจะรัก จึงนำกุหลาบมัทนากลับไปปลูกใหม่ยังสวนขวัญกรุงหัสดิน 



วันเสาร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2557




รำไทย 
การรำไทยเป็นการแสดงประเภทหนึ่งของ “นาฏศิลป์ไทย” มีเอกลักษณ์การร่ายรำโดยการเคลื่อนไหวประกอบกับเสียงดนตรีด้วยลีลาที่อ่อนช้อยและสอดคล้องกลมกลืนกันระหว่างส่วนต่างๆ ของร่างกายโดยเฉพาะมือ แขน เท้า และลำตัว มีบทขับร้องด้วยหรือไม่ก็ได้ มีผู้แสดงตั้งแต่ 1-2 คนขึ้นไป แบ่งประเภทเป็นการรำเดี่ยว รำคู่ หรือรำหมู่ แต่งกายตามรูปแบบของการแสดง ท่ารำจะเชื่อมโยงต่อเนื่องกันและเป็นสื่อให้ผู้ชมสามารถเข้าใจและลึกซึ้งถึงอารมณ์ของผู้แสดงได้ เพลงรำมีทั้งเร็วและช้า ทั้งนี้ สามารถแตกต่างกันขึ้นอยู่กับว่าจะเป็นการรำพื้นเมืองจากทางภาคใดด้วย อาทิเช่น การรำพื้นเมืองภาคเหนือ นิยมเรียกกันทั่วไปว่า “ฟ้อน” จะมีท่าทางลีลาที่อ่อนช้อย นุ่มนวล การรำพื้นเมืองภาคกลาง จะมีท่ารำสอดคล้องกับวิถีชีวิตประจำวัน รำเพื่อความบันเทิงสนุกสนาน พักผ่อนหย่อนใจหลังจากทำงาน การรำภาคอีสานส่วนมากจะเรียกว่าการรำ “เซิ้งและหมอลำ” มีจังหวะรวดเร็ว เร้าใจและสนุกสนาน น้อยคนนักเมื่อได้ยินเสียงจะยังคงนั่งอยู่กับที่เฉยๆ ได้ ส่วนการรำภาคใต้ก็จะเร็วและสนุกสนานเช่นกัน

การเรียนรำไทยถือว่าเป็นการช่วยเผยแพร่และอนุรักษ์ศิลปะอันมีค่าของชนชาติไทยให้สืบต่อไป นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาด้านสมาธิ กล้าแสดงออก เป็นคนมีระเบียบ ร่าเริง จิตใจเยือกเย็น เรียนรู้วิธีร่วมงานกับผู้อื่น และที่สำคัญเห็นได้ชัดคือ การรำไทยช่วยเสริมสร้างให้มีบุคลิกทรวดทรงที่งดงามและสมดุลกัน

วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2557

ฟ้อนที การแสดงภาคเหนือ




ฟ้อนที

คำว่า “ที” หมายถึง “ร่ม” เป็นคำภาษา “ไต” ใช้เรียกในจังหวัดแม่ฮ่องสอน “ที” ทางภาคเหนือมีลักษณะและรูปทรงแตกต่างกันไปแต่ละจังหวัด “ที” ที่ชาวแม่ฮ่องสอนนิยมใช้มีรูปทรงสวยนำมาใช้เป็นอุปกรณ์ประกอบการรำได้ฟ้อนทีเป็นผลงานประดิษฐ์สร้างสรรค์ของวิทยาลัยนาฏศิลปเชียงใหม่ จัดแสดงในงานนิทรรศการและการแสดงศิลปวัฒนธรรมของสถานศึกษาในสังกัดกองศิลปศึกษา กรมศิลปากร เพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในวโรกาสทรงเจริญพระชนมายุครบ ๖๐ พรรษา ณ โรงละครแห่งชาติ เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๕๓๕ การแสดงชุดนี้นำร่มมาใช้ประกอบลีลานาฎศิลป์โดยมีท่าฟ้อนเหนือของเชียงใหม่ผสมกับท่ารำไตของแม่ฮ่องสอน มีการแปรแถว และลีลาการใช้ร่มในลักษณะต่าง ๆ ที่งดงาม เช่น การถือร่ม การกางร่ม การหุบร่ม เป็นต้น

ดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดง

ใช้ดนตรีพื้นเมืองภาคเหนือประสมวง ได้แก่ สะล้อกลาง สะล้อเล็ก ซึ่งใหญ่ ซึงกลาง ซึงเล็ก ขลุ่ย กรับคู่ กลองพื้นเมือง

การแต่งกาย

มุ่งเน้นความสวยงามของเครื่องแต่งกายตามประเพณีนิยมภาคเหนือ แบ่งเป็น ๒ แบบ คือ แบบหญิงไทลื้อ และแบบหญิงล้านนาแบบไทลื้อ นุ่งซิ่นลายขวาง เสื้อปั๊ด เกล้าผมสูงประดับดอกไม้เงิน ผ้าเคียนศีรษะประดับกำไลข้อมือ ต่างหูแบบล้านนา นุ่งซิ่นตีนจก ผ้าคาดเอว เสื้อเข้ารูปแขนยาว เกล้าผมมวยตั้งกระบังผมหน้าสูง ประดับดอกไม้เงิน เครื่องประดับมีเข็มขัด กำไลข้อมือ สร้อยคอ ต่างหู
การแสดงชุดนี้ใช้เวลาประมาณ ๑๐ นาที